ชีส: ของขวัญอันโอชะที่อุดมไปด้วยโภชนาการ
ชีสเป็นผลิตภัณฑ์จากนมที่ได้จากการทำให้โปรตีนในนมตกตะกอนและแยกของแข็งนมออกเป็นก้อนแข็ง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำให้เป็นกรด การให้ความร้อน หรือการใช้อิมัลชัน
ประวัติศาสตร์ของชีส
หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่ามนุษย์เริ่มผลิตชีสมาตั้งแต่ 8,000 ปีกก่อนคริสตกาล ในประเทศในตะวันออกกลางและยุุโรป โดยชีสที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบนั้นมีอายุประมาณ 7,200 ปี และพบในประเทศโครเอเชีย
การผลิตชีส
ขั้นตอนการผลิตชีสโดยทั่วไปมีดังนี้
- การทำให้เป็นกรด: นมจะถูกทำให้เป็นกรดโดยการเติมจุลินทรีย์ เช่น แล็กติกแบคทีเรีย ซึ่งจะผลิตกรดแล็กติก ทำให้ pH ของนมลดลงและโปรตีนนมตกตะกอน
- การก่อตัวของก้อนแข็ง: เมื่อโปรตีนนมตกตะกอน จะเกิดเป็นก้อนแข็งที่เรียกว่า เคิร์ด
- การตัดและกวน: เคิร์ดจะถูกตัดและกวนเพื่อให้ของเหลวที่เรียกว่า เวย์ แยกออกมา
- การทำเกลือ: เคิร์ดที่ได้จะถูกบดและผสมเกลือเพื่อช่วยในการถนอมอาหารและพัฒนาความชื้น
- การบ่ม: ชีสจะถูกวางไว้ในห้องบ่มที่มีอุณหภูมิและความชื้นที่ควบคุม เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงานและพัฒนาเนื้อสัมผัส รสชาติ และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ประเภทของชีส
ชีสสามารถแบ่งประเภทได้ตามปัจจัยต่างๆ เช่น เนื้อ เวย์ที่ใช้ วัฒนธรรมที่ใช้ และระยะเวลาการบ่ม ประเภทชีสที่สำคัญ ได้แก่
- ชีสสด: ชีสประเภทนี้ไม่ได้ผ่านการบ่ม เช่น มอซซาเรลลา ริคอตตา
- ชีสชนิดกึ่งแข็ง: ชีสที่บ่มเป็นเวลาหลายเดือนถึงหลายปี มีเนื้อสัมผัสที่แน่น แต่ไม่แข็งมาก เช่น เชดดาร์ สวิส
- ชีสชนิดแข็ง: ชีสที่บ่มเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน มีเนื้อสัมผัสที่แข็งและเปราะ เช่น พาร์เมซาน เรจจิอาโน
- ชีสชนิดกึ่งอ่อน: ชีสที่บ่มเป็นเวลาสั้นกว่าชีสชนิดกึ่งแข็ง มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและยืดหยุ่น เช่น บรี คามัมแบร์
องค์ประกอบทางโภชนาการของชีส
ชีสเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ได้แก่
- โปรตีน: ชีสเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี โดยมีโปรตีนมากกว่านมประมาณ 2 เท่า
- แคลเซียม: ชีสเป็นแหล่งแคลเซียมที่เยี่ยมยอด โดยมีแคลเซียมมากกว่านมประมาณ 3 เท่า
- ไขมัน: ชีสมีไขมันในปริมาณสูง ซึ่งอาจเป็นทั้งไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัว
- วิตามินบี 12: ชีสมีวิตามินบี 12 ในปริมาณสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและการทำงานของระบบประสาท
- วิตามิน A: ชีสมีวิตามิน A ในปริมาณสูง ซึ่งจำเป็นสำหรับการมองเห็น สุขภาพของผิว และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ประโยชน์ของชีส
การบริโภคชีสในปริมาณที่พอเหมาะอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ได้แก่
- เสริมสร้างกระดูกและฟัน: ชีสเป็นแหล่งแคลเซียมที่เยี่ยมยอด ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
- ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: การศึกษาหลายชิ้นพบว่า การบริโภคชีสในปริมาณที่พอเหมาะอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โดยอาจเป็นเพราะชีสมีกรดไขมันคอนจูเกต (CLA) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
- ควบคุมน้ำหนัก: ชีสเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ซึ่งช่วยให้อิ่มนาน และอาจช่วยควบคุมน้ำหนัก
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: ชีสมีโปรไบโอติก ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
การเลือกและการเก็บรักษาชีส
- การเลือกชีส: เมื่อเลือกชีส ให้ดูที่เนื้อสัมผัส กลิ่น และลักษณะของชีส หลีกเลี่ยงชีสที่มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มหรือแข็งเกินไป มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือมีรอยขีดข่วนหรือรอยแตก
- การเก็บรักษาชีส: ชีสส่วนใหญ่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิประมาณ 40°F (4°C) โดยชีสชนิดแข็งสามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือนในขณะที่ชีสสดควรบริโภคภายในไม่กี่สัปดาห์
กลยุทธ์การบริโภคชีสที่ชาญฉลาด
- บริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ: แม้ว่าชีสจะมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ก็มีไขมันและแคลอรีในปริมาณสูง จึงควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ
- เลือกชีสที่มีไขมันต่ำ: ชีสบางชนิด เช่น มอซซาเรลลา ริคอตตา และชีสแพะ มีไขมันต่ำกว่าชีสชนิดอื่น
- ใช้ชีสเป็นเครื่องปรุงรส: แทนที่จะกินชีสเป็นก้อนใหญ่ๆ ให้ใช้เป็นเครื่องปรุงรสในอาหารต่างๆ เช่น พาสต้า ซุป และสลัด
- จับคู่ชีสกับผลไม้และผัก: การจับคู่ชีสกับผลไม้และผักสด เช่น องุ่น แอปเปิ้ล และแตงโม ช่วยเพิ่มความหวาน ช่วยตัดรสเค็มของชีส และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
เคล็ดลับและเทคนิค
- ทำให้ชีสอุ่นถึงอุณหภูมิห้องก่อนเสิร์ฟ: ชีสจะให้รสชาติและกลิ่นที่ดีที่สุดเมื่ออุ่นถึงอุณหภูมิห้อง
- ใช้มีดแยกแยะชีสชนิดต่างๆ: มีดตัดชีสชนิดต่างๆ ออกแบบมาสำหรับชีสประเภทต่างๆ โดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้คุณหั่นชีสได้อย่างแม่นยำและสะอาด
- จัดเก็บชีสไว้ในกระดาษไข: กระดาษไขช่วยให้ชีสหายใจและป้องกันการเกิดเชื้อรา
- ใช้ชีสที่มีอายุมากเกินไป: ชีสที่มีอายุมากเกินไปอาจมีรสขมหรือเปรี้ยวเกินไป ดังนั้นควรเลือกชีสที่มีอายุที่เหมาะสม
ชีสกับสุขภาพเด็ก
ชีสเป็นอาหารที่สามารถนำเข้าสู่มื้ออาหารของเด็กได้ตั้งแต่อายุประมาณ 6-8 เดือน โดยควรเริ่มจากชีสชนิดนิ่มๆ เช่น ริคอตตา หรือคอทเทจชีส และหลีกเลี่ยงชีสที่มีอายุมากหรือมีรสเค็มมากเกินไป
ชีสกับการตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์สามารถบริโภคชีสได้ในปริมาณที่พอเหมาะ แต่ควรหลีกเลี่ยงชีสประเภทที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์เนื่องจากอาจมีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายได้
การเรียกร้องการดำเนินการ
ชีสเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สามารถเพลิดเพลินได้ในปริมาณที่พอเหมาะ โดยการเลือกชีสที่มีคุณภาพ จัดเก็บอย่างถูกต้อง และบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ คุณสามารถใช้ประโยชน์จากประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายของชีสได้
ตาราง
ตารางที่ 1: องค์ประกอบทางโภชนาการของชีส (ต่อ 100 กรัม)
| สารอาหาร | ปริมาณ |
|---|---|---|
| โปรตีน | 25 กรัม |
| ไขมัน | 33 กรัม |
| คาร์โบ