คำนำ
โรคสเตรปโทคอคคัส หรือ "สเตร็ปคอ" เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยเชื้อ Streptococcus pyogenes เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคนี้ในประเทศไทย พบได้ถึง 80% ของผู้ป่วยทั้งหมด
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย Streptococcus pyogenes สามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจาม และการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อ เช่น ของเล่นหรือภาชนะที่ปนเปื้อน
อาการ
อาการของสเตร็ปคออาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยทั่วไปมักพบอาการดังนี้
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยสเตร็ปคอได้โดยการตรวจร่างกายและตรวจเพาะเชื้อจากคอ หากผลการตรวจเป็นบวก แสดงว่าผู้ป่วยติดเชื้อสเตร็ปคอ
ภาวะแทรกซ้อน
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคสเตร็ปคออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น
การรักษา
การรักษาสเตร็ปคอหลักๆ คือการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยมักใช้ Penicillin หรือ Amoxicillin เป็นเวลา 10 วัน แพทย์อาจสั่งจ่ายยาแก้ปวดหรือยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอและไข้ด้วย
การป้องกัน
การป้องกันโรคสเตร็ปคอสามารถทำได้โดย
เรื่องราวและบทเรียน
เรื่องที่ 1
พนักงานออฟฟิศคนหนึ่งมักมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นสเตร็ปคอ จึงไม่ได้ไปพบแพทย์ จนกระทั่งอาการรุนแรงขึ้น มีไข้สูงและต่อมน้ำเหลืองบวม จึงไปพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นสเตร็ปคอ หลังจากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อาการก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
บทเรียน: อย่าละเลยอาการเจ็บคอเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
เรื่องที่ 2
แม่บ้านท่านหนึ่งมีลูกชายวัย 6 ขวบ ที่มีอาการเจ็บคอและไข้สูง เธอจึงให้ลูกชายดื่มน้ำผึ้งเพื่อบรรเทาอาการ แต่หลังจากผ่านไป 2 วัน อาการของลูกชายก็ไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงกว่าเดิม จนต้องพาไปพบแพทย์ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นสเตร็ปคอและสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะให้
บทเรียน: การใช้เพียงน้ำผึ้งไม่เพียงพอที่จะรักษาสเตร็ปคอ หากมีอาการรุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
เรื่องที่ 3
เด็กชายวัย 10 ขวบมีอาการเจ็บคอและไข้สูง แต่พ่อแม่ยังไม่พาไปพบแพทย์ เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการไข้หวัดธรรมดา หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ เด็กชายเริ่มมีอาการปวดข้อและบวมที่ข้อ จึงพาไปพบแพทย์ แพทย์วินิจฉัยว่าเด็กชายเกิดภาวะแทรกซ้อนจากสเตร็ปคอ คือ ไข้รูมาติก
บทเรียน: ไม่ควรประมาทกับโรคสเตร็ปคอ หากมีอาการรุนแรงขึ้นหรือไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที
ตารางที่ 1: อัตราการเกิดโรคสเตรปโทคอคคัสในกลุ่มอายุต่างๆ
กลุ่มอายุ | อัตราการเกิดโรคต่อประชากร 100,000 คน |
---|---|
5-14 ปี | 400-600 |
15-24 ปี | 200-300 |
25-44 ปี | 100-200 |
45-64 ปี | 50-100 |
65 ปีขึ้นไป | น้อยกว่า 50 |
ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ตารางที่ 2: อาการของโรคสเตรปโทคอคคัส
อาการ | สัดส่วนผู้ป่วยที่พบ (%) |
---|---|
เจ็บคอ | 90 |
ไข้ | 80 |
กลืนลำบาก | 70 |
ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม | 60 |
ปวดศีรษะ | 30 |
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ | 20 |
คลื่นไส้ อาเจียน | 10 |
ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ตารางที่ 3: ภาวะแทรกซ้อนของโรคสเตรปโทคอคคัส
ภาวะแทรกซ้อน | อัตราการเกิด (%) |
---|---|
ไข้รูมาติก | 0.3 |
โรคไตอักเสบ | 0.1 |
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ | น้อยกว่า 0.1 |
ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย
ข้อดีของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
ข้อเสียของการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
คำถามที่พบบ่อย
สเตร็ปคอติดต่อกันได้ง่ายอย่างไร?
* ติดต่อได้ผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจาม และการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อ
ใครมีความเสี่ยงที่จะเป็นสเตร็ปคอมากที่สุด?
* เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
อาการของสเตร็ปคอที่ต้องไปพบแพทย์คืออะไร?
* เจ็บคออย่างรุนแรง
* กลืนลำบาก
* มีไข้สูง
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม
ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นสเตร็ปคอแล้ว ต้องหยุดงานหรือเรียนกี่วัน?
* ควรหยุดพักและอยู่บ้านอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
สเตร็ปคอสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาหรือไม่?
* อาจหายได้เอง แต่มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อป
2024-11-17 01:53:44 UTC
2024-11-18 01:53:44 UTC
2024-11-19 01:53:51 UTC
2024-08-01 02:38:21 UTC
2024-07-18 07:41:36 UTC
2024-12-23 02:02:18 UTC
2024-11-16 01:53:42 UTC
2024-12-22 02:02:12 UTC
2024-12-20 02:02:07 UTC
2024-11-20 01:53:51 UTC
2024-09-04 15:56:29 UTC
2024-09-04 15:56:58 UTC
2024-12-29 06:15:29 UTC
2024-12-29 06:15:28 UTC
2024-12-29 06:15:28 UTC
2024-12-29 06:15:28 UTC
2024-12-29 06:15:28 UTC
2024-12-29 06:15:28 UTC
2024-12-29 06:15:27 UTC
2024-12-29 06:15:24 UTC